03-08-2563

สำนักงานการวิจัยของชาติ เปิดเผยผลวิเคราะห์ ราคา จำนวนการฉีด และช่วงเวลาที่น่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

   ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยของชาติ หรือ วช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 ของทั่วโลกว่า มีรายงานผลการทดสอบวัคซีน ในมนุษย์ในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่ให้ผลน่าพอใจ โดยเฉพาะวัคซีนที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนคา ประเทศอังกฤษ และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทแคนไซโน ประเทศจีน พบว่าวัคซีนทั้งสองแบบนี้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในอาสาสมัคร และไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง ประกอบกับมีรายงานผลการทดสอบวัคซีนของบริษัทโมเดิร์นนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย ซึ่งผลดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถพัฒนาและผลิตวัคซีนที่ใช้งานได้ โดยขณะนี้มีวัคซีนที่กำลังทดสอบในมนุษย์ถึง 30 แบบ ซึ่งวัคซีนอย่างน้อยแบบใดแบบหนึ่งหรือหลายๆแบบน่าจะใช้งานได้ และการพัฒนาวัคซีนในช่วงต่อไปก็จะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 3 ในประชากรจำนวนมาก เพื่อดูผลในการป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะได้รับการรับรองเพื่อใช้งานทั่วไป

   เลขาธิการ วช.กล่าวต่อไปว่า การทดสอบในช่วงต่อไป จะติดตามว่าภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นนี้จะอยู่ได้นาน แค่ไหน รวมทั้งติดตามโดยละเอียดในเรื่องความปลอดภัยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญจะต้องติดตามว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนนั้นจะไม่ติดเชื้อโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน เพราะในการทดสอบ ที่รายงานกันนี้เป็นการตรวจในห้องปฏิบัติการว่ามีระดับแอนติบอดีหรือมีภูมิคุ้มกันด้านเซลล์เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ได้ยืนยันว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถป้องกันเชื้อได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาติดตามพอสมควรเพื่อให้มั่นใจ นอกจากนี้ยังต้องเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการอีกด้วย

   ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่น่าจะมีวัคซีนที่ใช้งานได้จริงโดยผ่านการทดสอบครบทุกขั้นตอนและผลิตได้ในปริมาณ ที่เพียงพอสำหรับคนจำนวนมากซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกได้คาดเอาไว้นั้นน่าจะเป็นในกลางปีหน้า เป็นต้นไป ส่วนในช่วงต้นปี 2564 จะเริ่มมีวัคซีนจำนวนหนึ่งที่พร้อมใช้ในคน แต่จะยังคงมีจำนวนจำกัด หลังจากนั้นจึงจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้มีวัคซีนจำนวนมากเพียงพอในเรื่องรูปแบบการใช้งานและราคานั้น วัคซีนแต่ละแบบที่กำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้ให้ผลที่ใกล้เคียงกันโดยส่วนใหญ่จะเห็นผลว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอหลังฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ดังนั้นจึงคาดว่าจะต้องฉีดวัคซีนคนละ 2 ครั้ง ห่างกันหนึ่งเดือน และเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการเปิดเผยผลการเจรจาสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มราคาของวัคซีน โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ตกลงสั่งซื้อวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทไบออนเทค ประเทศเยอรมนี ร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการจองซื้อวัคซีนล่วงหน้าหากวัคซีนประสบความสำเร็จ โดยระบุราคาของวัคซีนไว้เลย ทั้งนี้ได้สั่งซื้อวัคซีนจำนวน 100 ล้านเข็มสำหรับฉีดในคน 50 ล้านคน ที่ราคา 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับเข็มละ 20 เหรียญสหรัฐ ประเมินว่า วัคซีนโควิด-19 จะราคา 20 เหรียญหรือ 620 บาท ฉีดคนละ 2 เข็ม เท่ากับค่าวัคซีน 1,240 บาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยการคาดการณ์ราคาวัคซีนออกมา เพราะก่อนหน้านี้ที่มีการจองวัคซีนกันเป็นกึ่งการให้ทุนวิจัยแต่ไม่ได้ระบุราคาของวัคซีนเอาไว้ ซึ่งราคาดังกล่าวนี้ใกล้เคียงกับราคาของวัคซีนไข้หวัดใหญ่

   สำหรับประเทศไทย มีการดำเนินงานด้านวัคซีนอย่างคู่ขนานกันทั้งสามแนวทาง คือ การพัฒนาวัคซีน ในประเทศ และการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิควัคซีนที่ผ่านการทดสอบแล้วจากต่างประเทศเพื่อให้ผลิตได้เพียงพอสำหรับคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งการเตรียมจัดหาวัคซีนจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ