นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการศึกษา กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย พร้อมทั้งเยี่ยมชมการดำเนินการศูนย์บ่มเพาะการเรียนรู้เพื่อสร้างรายได้สู่ความยั่งยืน ณ โรงเรียนสงขลาพัฒนาปัญญา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจากพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดสงขลา และได้มาเยี่ยมชมโรงเรียนสงขลาพัฒนาปัญญา ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการดำเนินงานโครงการพัฒนาสถานศึกษาต้นแบบเป็นศูนย์บ่มเพาะการเรียนรู้เพื่อสร้างรายได้สู่ความยั่งยืน โดยได้มาชมความสามารถด้านทักษะอาชีพของนักเรียน ทั้งการบริการล้างรถ (Car Care Clinic) ร้านตัดผมชาย การทอผ้าซาโอริ จัดดอกไม้แห้ง ประดิษฐ์เครื่องประดับจากลูกปัด ทำผ้ามัดย้อม ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำขนม ประกอบอาหาร ร้านปันน้ำใจ ฯลฯ ซึ่งเมื่อได้รับฟังการรายงานผลการดำเนินงานจากผู้อำนวยการโรงเรียน แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ในการส่งเสริมทักษะอาชีพ เพื่อมุ่งเน้นการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ สำหรับเป็นแนวทางสร้างโอกาสทางการศึกษา ฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และส่งเสริมการมีงานทำให้กับนักเรียน
นอกจากนี้ ยังได้รับฟังผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในเรื่อง Zero Dropout ซึ่งขอชื่นชมทุกฝ่ายที่บูรณาการการทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้ง สพฐ. และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่ได้ติดตามค้นหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้ครบ 100% จากตัวเลขประมาณ 2 หมื่นกว่าคน มีเด็กส่วนหนึ่งที่สมัครใจกลับมาศึกษาต่อ อีกส่วนหนึ่งยังไม่สมัครใจ และอีกส่วนได้ย้ายถิ่นฐานหรือไปต่างประเทศแล้ว ในส่วนของเด็กที่สมัครใจกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ส่วนที่ยังไม่สมัครใจกลับมาเรียน เราก็ต้องหาวิธีนำการเรียนไปให้เขา เหมือนอย่างนโยบายของ สพฐ คือ “พาน้องกลับมาเรียน นําการเรียนไปให้น้อง” หากเราพาเขากลับมาเรียนที่โรงเรียนไม่ได้ ก็นำการเรียนไปให้เขาแทน อย่างเช่นการทำโรงเรียนมือถือ ยกตัวอย่างชุมชนของจังหวัดสงขลามีส่วนหนึ่งที่เด็กต้องออกทะเลไปประกอบอาชีพประมงกับครอบครัว ทำให้เด็กไม่สามารถกลับมาเรียนได้เพราะเวลาเรียนกับเวลาออกเรือนั้นไม่สอดรับกัน จึงเกิดไอเดียโรงเรียนมือถือขึ้นมา โดยให้เด็กสามารถเรียนผ่านมือถือ มีการทำงานส่งหรือทำข้อสอบผ่านมือถือได้ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสเรียนมากที่สุด ซึ่งยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถบริหารจัดการให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียนได้
“อีกเรื่องหนึ่งที่ได้มีการคุยกันอยู่ในตอนนี้ คือทาง รมว.ศธ. ได้รับการประสานจากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ในเรื่องการสนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียนในพื้นที่ ซึ่งหลายๆ จังหวัดอย่างเช่นจังหวัดนนทบุรี เป็นอบจ.ที่พัฒนาพื้นที่ของตัวเองเต็มที่แล้ว ต้องการจะพัฒนาด้านการศึกษาให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำมาโดยตลอด เพียงแต่ยังติดที่ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยในเรื่องเงินอุดหนุนของท้องถิ่นต่างๆ ทั้ง อปท. เทศบาล อบจ. หรือ อบต. หากจะสนับสนุนไปที่โรงเรียน ทางโรงเรียนจะต้องมีเงินสมทบ 25% ด้วย ซึ่งหากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ได้รับงบประมาณน้อยอยู่แล้ว จะไม่สามารถรับการสนับสนุนตรงนี้ได้ ดังนั้นจึงอาจต้องมีการหารือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอปลดล็อกข้อกฎหมายในส่วนนี้ เพื่อให้โรงเรียนสามารถรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาในท้องถิ่นได้ โดยเราจะดำเนินการตามแนวทาง “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” โดยประสานพลังกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการศึกษาไทยทั้งระบบให้ดีขึ้นในทุกพื้นที่” รมช.ศธ. กล่าว