บ.เนสท์เล่ อินโดไชน่า – กฟผ. และ บ. อินโนพาวเวอร์ จำกัด ร่วมแถลงความร่วมมือการจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระดับ Utility เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยทางเนสท์เล่ได้กล่าวว่า ทางบ.มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งหนึ่งในโครงการดังกล่าวคือการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100 % ในโรงงานผลิตของเนสท์เล่ทุกแห่งภายในปี 2025 โดยนำร่องใช้ที่โรงงานเนสท์เล่ไอศครีม เป็นรายแรกในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย นับเป็นก้าวสำคัญในการร่วมมือกันพัฒนาประเทศไทยและโลกให้ยั่งยืนและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ในส่วนของกฟผ. ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญเช่นกัน ในการขับเคลื่อนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมหลัก ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคพร้อมทั้งยังเป็นการทดสอบกลไกการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในรูปแบบการจัดหาพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ภายใต้อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว ในโครงการทดสอบนวัตกรรมนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงานระยะที่ 2 เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยกฟผ. มีความพร้อมในการเป็นหน่วยงานกลางบริหารจัดการไฟฟ้าสีเขียว จากเขื่อนที่ขึ้นทะเบียน HREC ของกฟผ. และตรวจสอบใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่ตรงตามแหล่งผลิต และปริมาณการใช้ไฟฟ้า เพื่อทดสอบรูปแบบการจัดหาพลังงานไฟฟ้าสีเขียวรูปแบบใหม่ ที่จะส่งเสริมและยกระดับภาคพลังงานไฟฟ้าภาคพลังงานไฟฟ้าสีเขียวของไทยสู่มาตรฐานสากล รวมถึงความพร้อมในการตอบสนองความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียวของทุกภาคธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อไป
ด้านบ.อินโนพาวเวอร์ จำกัด ได้กล่าวว่า ในฐานะที่อินโนพาวเวอร์เป็นผู้ให้บริการการจัดหาและซื้อขาย ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน หรือ REC อย่างครบวงจร โดยในปี 2565 ได้สนับสนุนการซื้อขายรายย่อยไปมากกว่า1 ล้านรายการ และได้ประเมินทิศทางพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยว่า จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากผู้ใช้ไฟฟ้าเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยมีการส่งเสริมให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายย่อยเพิ่มขึ้น และเตรียมความพร้อมการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าสีเขียวรูปแบบ Utility Green Tariff หรือการมีอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว โดยทางอินโนพาวเวอร์เชื่อว่า การแบ่งปันประสบการณ์และความร่วมมือ จะเป็นตัวเร่งที่สำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน องค์กร บริษัท ทั้งภาครัฐและเอกชน จะทำให้เป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ประสบผลสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น ถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง ถึงแม้จะยังคงต้องใช้เวลาในการที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมาย แต่ในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของกฟผ. ได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคาร์บอนต่ำให้ได้ในที่สุด
………………..กฟผ. ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย EGATFORALL………………...